Adobe @ Check-in
July 4, 2019Transformation ทำอย่างไรจึงสำเร็จ ?
December 4, 2019
วันนี้อยากเล่าเรื่องการนำ Gamification มาใช้กับ งาน HR เพื่อสร้าง Engagement บางท่านอาจจะงงว่า มันเกี่ยวกันยังไง ลองนึกภาพดูนะคะว่าปัจจุบัน คนในองค์กรต่างๆจะให้ทำกิจกรรมอะไร ร่วมกันมันยากยิ่ง เปอร์เซนต์การเข้าร่วมหรือความสนใจมันไม่ค่อยมีซึ่งเป็นเรื่องปวดหัวของ HR นักกิจกรรมทั่วไป เป็นเพราะอะไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความต้องการของพนักงานเปลี่ยนไป พนักงานที่เด็กๆอายุน้อย (ซึ่งกลายเป็นพนักงานส่วนใหญ่ในบริษัทไปแล้ว) ขี้เบื่อ ไม่ชอบทำอะไรที่ไม่ตื่นเต้น ท้าท้าย การที่จะ Engage พนักงานกลุ่มนี้ได้ กิจกรรมต่างๆก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย จากผลการวิจัยบอกว่าการนำ Gamification มาใช้ในองค์กรนั้นจริงๆเป็นเรื่อง เทคโนโลยี่แค่ 25% เท่านั้น อีก 75% เป็นเรื่องจิตวิทยาล้วนๆ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดผลการวิจัยที่น่าสนใจอื่นซึ่งพบว่า
- 79% ของคนในองค์กรอยากอยู๋ในองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ Gaimification เป็นส่วนประกอบ (เพราะมันสนุก ตื่นเต้น ท้าทาย)
- 63% ของพนักงานหลากหลายเจนเนอเรชั่นบในองค์กรบอกว่า การทำชีวิตประจำวันในการทำงานให้มีลักษณะเหมือนการเล่นเกมจะช่วยทำสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้
- พนักงาน 50% บอกว่าถ้ามีการแข่งขันในชีวิตการทำงานประจำวันจะช่วยให้พฤติกรรมในการทำงาน เปลียนไปได้
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า พนักงานมีความชอบที่จะให้ ชีวิตการทำงานหรือ สภาพแวดล้อมในการทำงาน มีการใช้ Gamification ประกอบซึ่งจะช่วยทำให้พนักงานมีแรงจูงใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ มีการนำ Gamification มาใช้เพื่อสร้าง Engagement ในองค์กร (ซึ่งจริงๆหน่วยงานที่ใช้มักจะเป็นหน่วยงาน HR ที่ต้อง Engage พนักงานกับ หน่วยงานการตลาดที่ต้อง Engage ลูกค้า)
ลองมาดูกันว่าการนำ Gaimification มาใช้หมายถึงอะไร ง่ายๆค่ะ คือการนำเกมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการต่างๆในการทำงานที่เราต้องการให้เกิด Engagement ถ้านึกภาพไม่ออกก็ ให้นึกถึงตอนเราเล่นเกม การเล่นเกมแต่ละเกมจะประกอบไปด้วย1) กติกาของเกม 2) วิธีการเล่นเกมว่าเล่นยังไง 3) วิธีการทำยังไงจึงจะชนะ (เพื่อกระตุ้นให้ทำ) และอะไรทำให้เราแพ้(เพื่อกระตุ้นให้ไม่ทำ) และ4) เมื่อชนะแล้ว เราจะได้อะไร
ซึ่ง การนำ Gamification มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการงาน HR ก็คือการนำแนวคิดของเกมที่ว่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการด้าน HR นั่นเอง ยกตัวอย่างที่เห็นภาพง่ายที่สุด ที่เกือบทุกบริษัทใช้อยู่แล้ว คือ การให้เบี้ยขยัน ซึ่งมีการกำหนด (กติกาและวิธีการเล่น) ว่าต้องไม่ขาดงานอย่างน้อยกี่วันต่อปีถึงได้รับเบี้ยขยัน (หมายถึงทำอย่างไรจะชนะ) และถ้าขาดงานเท่าไรจะหมดสิทธ์ไปเลย (ปัจจัยที่ทำให้แพ้) และสุดท้ายรางวัลที่ได้คือ เงินโบนัสพิเศษ หรือ ทองกี่บาท ตามอายุงาน เป็นต้น การกำหนดนโยบายอย่างนี้คือการสร้างการมีส่วนร่วมในการแข่งขันในบริษัทที่ทำให้พนักงานขยันไม่ลาหยุดงาน เพราะถ้าลาจะหมดสิทธ์(ที่จะชนะ) และได้ทอง เป็นต้น
หรืออีกเรื่องที่ตอนนี้ ฮิตมากคือ เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพ หลายๆบริษัท มีการแจก Fitbit (สายพันข้อมือเพื่อนับก้าวเดิน) ให้พนักงานแล้วกำหนดให้มีการแข่งขันกันโดยนับก้าวหรือ สเต็ปที่พนักงานเดินได้ในแต่ละวัน จัดเป็นทีมรวมกัน เพื่อให้ได้ ทีมทำได้มากที่สุด ในกำหนดเวลาเช่น 2 สัปดาห์ ก็จะได้รับรางวัลไป โดยใช้เทคโนโลยี่มาช่วยให้พนักงาน Download FITBIT Mobile Application เพื่อแทรคจำนวนก้าวเดินของทุกทีม และโชว์ผลแข่งกัน คราวนี้ก็สนุกสิค่ะ แข่งกันใหญ่ ใครได้มากกว่า คุยทับกัน นัดกันไปเดิน ตอนเช้ามาทำงานก็ถามไถ่ (แกมบังคับ) ว่าเพื่อนร่วมทีมเดินรึยัง (เดี๋ยวแพ้นะ) ได้ทั้งสุขภาพได้ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมทีมซึ่ง ร้อยวันพันปีไม่เคยคุยกัน ก็มาคุยทับกันเพราะแข่งกันเดิน บางบริษัทเก๋กว่านั้นอีกนำไปผูกกับเรื่อง CRS ถ้าพนักงานทุกคน ทุกทีมช่วยกันเดินได้เกิน 1 ล้านก้าว บริษัทจะบริจาคเงินให้หน่วยงานรัฐต่างๆที่กำหนด เป็นการทำ CSR ไปอีกในตัว ยิงนกทีเดียวได้หลายตัวเลย นี่คือตัวอย่างการนำ Gamification มาใช้ในองค์กรเพื่อสร้าง Engagement ถ้าถามว่ามันได้ผลจริงมั้ย ส่วนตัวคิดว่าทำได้จริงเพราะมัน “ถูกจริต” พนักงานยุคใหม่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในองค์กร จริงๆพนักงานที่ไม่ใช่พนักงานยุคใหม่ก็ชอบเพราะ หลักการ Gamificaiton จริงๆคือการนำหลัก จิตวิทยามาประยุกต์ใช้ (จำได้ใช่มั้ยค่ะว่า Gamification ประกอบด้วยการใช้หลักจิตวิทยาถึง 75% จาก100%)
ก่อนจบดิฉันขอฝากหลักการนำ Gamification มาใช้ในระบบการประเมินผลพนักงานที่หลายๆบริษัทนำไปใช้แล้วได้ผลดี เผื่อเอาไปใช้ต่อนะคะ ในการออกแบบ Gamification สำหรับการประเมินผลพนักงานนั้น ควรยึดขั้นตอนดังนี้ 1) ตั้งเป้าที่วัดได้และให้รางวัลพิเศษสำหรับสิ่งที่เราต้องการให้พนักงานทำ (เพื่อประโยชน์กับองค์กร) 2) ให้รางวัลกับพฤติกรรมที่เราต้องการและมีคนทำได้แล้ว (เพื่อจูงใจคนอื่นให้อยากทำ) เช่นเราอยากให้พนักงานขายของให้ได้ 50 ชิ้นต่อวัน ซึ่งมีคนทำได้แล้ว 2 คนจาก พนักงานทั้งหมด 10 คน เราก็ตั้งกฎให้รางวัลพิเศษ กับคนที่ทำได้ 50 ชิ้น (เพื่อจูงใจพนักงานอีก 8 คนที่ยังทำไม่ได้) 3) แน่ใจว่าเรามีข้อมูลพื้นฐานหรือ Baseline ของพฤติกรรมที่เราต้องปรับเปลียน เช่นต้องรู้ว่า ตอนนี้มีพนักงาน 2 คนขายได้ 50 ชิ้น อีก 8 คนขายได้เฉลี่ย 30 ชิ้น เราจะได้นำมาตั้งเป้าในการให้รางวัลได้ถูกต้อง 4) ให้รางวัลกับการที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ (ไม่ใช่เฉพาะคนที่ทำได้ตามเป้าเท่านั้น) เพื่อ จูงใจให้คนพยายามทำ 5) นำ Social Media มาช่วย ตั้งรางวัลเพิ่มสำหรับคนที่ช่วยแชร์ออก Social Media เพื่อให้มีการรับรู้ในวงกว้าง จะช่วยจูงใจได้อย่างดีเลยค่ะ
อย่าลืมนะคะ Gaimificaion เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาและการสร้างแรงจูงใจในการทำงานค่ะ เทคโนโลยี่มาช่วยให้เกิดลุคและฟิลเท่านั้น !