More than “CEO”
October 20, 2017การเป็นหัวหน้างานที่ดี
April 26, 2019เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วบริษัทดังๆอย่าง GE, Exxon Mobile, Citi Group ที่มี Market Cap ลำดับต้นๆในโลก มี CEO ที่มีหน้าที่หลักคือการบริหารผู้บริหารให้ทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่ในบริษัท ยกตัวอย่างโครงการ Six Sigma ของ GE ซึ่งดังมากเพราะเป็นการทำให้เกิด productivity สูงสุด (“Six Sigma” ในทางปรัชญาคือ ทำอย่างไรให้กระบวนการสินค้าที่ผลิตมีการผิดน้อยที่สุด และนำมาแปลใช้เป็นหลักการในการบริหาร ในการปรับปรุงคุณภาพของกระบวนการ โดย Six Sigma ก็มีสูตรในการปรับปรุงคุณภาพ มี 5 ขั้นตอน ดูว่าปัญหาคืออะไร ปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหน เก็บข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้รู้สาเหตุ ที่จะรู้วิธีที่จะแก้ไขได้ รู้แล้วควบคุมให้ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง กระบวนการนี้สามารถย้อนกลับได้ อดีตซีอีโอ จอห์น เฟเดอริก แวลล์ เป็นผู้ที่นำ Six Sigma เข้ามาในองค์กร และทำให้มันอยู่ในสายเลือดหรือ DNA ของพนักงานใน GE)
แต่ถ้าเรากดปุ่ม fast forward มาถึงปัจจุบันจะพบว่าบริษัทที่มี market cap ลำดับต้นๆอย่าง Apple, Google, Facebook จะมี CEO ที่(มัก) เป็นผู้ก่อตั้งหรือ Founder ด้วย ซึ่ง CEO (ประเด็นนี้สำคัญนะคะ เนื่องจากการนำพาบริษัทให้ประสบความสำเร็จในปัจจุบันมาจากการที่มี CEO เป็น “ผู้ก่อตั้ง หรือ Founder” และบริหารโดยคิดแบบ “ผู้ก่อตั้ง”) บริษัทพวกนี้เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และให้ความสำคัญกับการเติบโต (Growth) มากกว่าประสิทธิภาพของธุรกิจปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทใหญ่ๆเริ่มเดินตามแนวทางเดียวกันโดยให้ความสำคัญกับการเติบโตมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล ไม่เช่นนั้นบริษัทอย่าง Apple คงไม่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จคือ การที่ CEO ไม่ได้คิดอย่าง CEO เก่าๆที่ว่า CEO คือ Chief Executive Officer หรือ หัวหน้าผู้บริหาร แต่ CEO คือ Refounder ซึ่ง Refounder หมายถึงการที่ CEO แม้ไม่ได้เป็น ผู้ก่อตั้ง แต่ก็คิดแบบ ผู้ก่อตั้ง เช่น
- ทำอย่างไรบริษัทจะเติบโตได้ (อย่างยั่งยืน)
- ทำอย่างไรจะมีสินค้า บริการใหม่ๆที่ยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก
- ทำอย่างไรที่จะหาตลาดใหม่ ตรงกับความต้องการของคนยุคใหม่
- หรือพูดง่ายๆคือ “คิดใหม่ ทำใหม่” นั่นเอง
ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่น่าสนใจของบริษัทไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่บริหารโดย CEO มืออาชีพและติดลำดับบริษัทที่มี Market Cap สูงมาตลอดยกเว้นในช่วงปี 2006 (ดูตารางประกอบ)
CEO คนปัจจุบันคือ Satya Nadella นำไมโครซอฟท์กลับมาติดโผ Top Five อีกครั้งหลังจากหายไปในปี 2006 คุณ Satya เป็น CEO ที่คิดอย่าง Refounder เขาไม่ใช่ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์แต่เขาคิดอย่างผู้ก่อตั้ง หากย้อนไปดูประวัติของ Satya แล้ว เขานั้นไม่ธรรมดาเลยก็ว่าได้ เป็นบุคคลที่มีความรักใน Microsoft แบบมั่นคงและยืนยาวมาก เพราะเขาทำงานกับ Microsoft มามากกว่า 20 ปีแล้ว เรียกได้ว่า กว่าครึ่งชีวิตของเขาเองเลยก็ได้ว่า ตอนรับตำแหน่งเขามีอายุเพียง 47 ปี เท่านั้น จัดได้ว่าหนุ่มเลยสำหรับตำแหน่ง CEO บริษัทใหญ่ยักษ์ วิสัยทัศน์ยังสด ๆ อยู่
ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่ Satya จะก้าวขึ้นมาเป็น CEO คนที่สามของ Microsoft ต่อจาก Bill Gates และ Steve Ballmer คือ Executive Vice President of Microsoft’s Cloud and Enterprise group หรือผู้ดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรและ Cloud ซึ่งนั่นเองเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Bill Gates แนะนำ Satya มาเป็น CEO และตัวเองดำรงตำแหน่ง Technology Advisor ควบคู่กัน ที่น่าสนใจคือ Staya เคยอาศัยอยู่ในประเทศไทยกว่า 5 ปีในวัยเด็ก และคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่เขาใช้ คือเครื่องที่พ่อซื้อให้จากในประเทศไทย !!!
Satya เป็น CEO ในปี 2014 และให้ความสำคัญกับการเติบโต หรือ Growth เขาพูดว่า “ถ้าเราไม่ทำสิ่งใหม่ๆ เราก็จะอยู่ไม่ได้” สิ่งแรกที่เขาจะทำในฐานะซีอีโอคือทำลายอุปสรรคทุกประการที่ขัดขวางไม่ให้ไมโครซอฟท์สร้างนวัตกรรม เขาต้องการพาไมโครซอฟท์ก้าวไปข้างหน้าด้วยนวัตกรรม ไมโครซอฟท์ต้องทำให้มากขึ้น (do more) จากผลิตภัณฑ์สายธุรกิจในอดีต กลยุทธ์สำคัญๆที่ Satya ทำในฐานะ CEO ของไมโครซอฟท์ที่คิดอย่าง Refounder ภายใต้หลักการที่เน้นการเติบโตในอนาคตมากกว่าประสิทธิภาพในปัจจุบัน ได้แก่
- การให้ความสำคัญกับการคิดแบบระยะยาว (Long term thinking) และการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่รองรับการเติบโตในอนาคตอย่าง Cloud, SASS, AI เป็นต้น
- การซื้อ Linkedin เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อการทำงานและแหล่งรวมมืออาชีพด้วยเงินสดมูลค่ากว่า 26,200 ล้านเหรียญ ดีลครั้งนี้จะทำให้ Linkedin เป็นบริษัทลูกของไมโครซอฟท์โดย Jeff Weiner CEO ของ Linkedin ยังคงตำแหน่ง CEO ของ Linkedin ต่อไป และทำงานขึ้นตรงกับ Satya โดยไมโครซอฟท์หวังว่าจะนำเครือข่ายสำหรับมืออาชีพของ Linkedin ทำงานร่วมกับ Microsoft Office และ Microsoft Dynamics เพื่อเสริมผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจของบริษัทให้แข็งแรงขึ้น
- เน้นแนวทางการทำงานแบบ Test and Learn Approach คือไม่กลัวความล้มเหลว ทุกอย่างต้องทดลองทำ เพื่อให้รู้ถ้าผิดพลาดกับเรียนรู้กับมันไป ถ้ามัวแต่กลัวผิดก็ไม่ได้ทำ แล้วก็ทำให้เราก้าวไม่ทันโลก
ผลลัพธ์ตั้งแต่ Satya เข้ามาเป็น CEO คือ การที่ ไมโครซอฟท์ กลับเข้า Top Five List อีกครั้งและการที่มูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้นถึงเท่าตัวนะคะ !!!