Beniefits Trend 2019
February 6, 2019Employee-centric
April 26, 2019วันนี้อยากเล่าถึงเทรนด์ใหม่ในแวดวง HR คือการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพพนักงานในลักษณะที่เป็น “การป้องกัน” มากกว่า “การรักษา” ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่เน้นที่การรักษามากกว่าการป้องกันหมายถึงองค์กรมีการทำประกันสุขภาพให้พนักงานเพื่อคุ้มครองเวลาพนักงานป่วย มากกว่าที่จะคิดวิธีป้องกันไม่ให้พนักงานป่วย (โดยการดูแลสุขภาพให้ดี ก่อน ป่วย) โดยเหตุผลหลักที่องค์กรต้องเริ่มคิดในการป้องกัน (มากกว่ารักษา) ก็เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายขององค์กรเกี่ยวกับการประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่ productivity ของพนักงานเท่าเดิมหรือลดลง (เพราะสุขภาพไม่ดี) นอกจากนี้ทราบไหมคะว่าค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนแฝงด้านสุขภาพ(ไม่ดี) ของพนักงานนั้นมากกว่าค่าใช้จ่ายประกันสุขภาพที่บริษัทจ่ายเป็นปกติให้พนักงานอยู่ถึง20% เมื่อเป็นเช่นนี้องค์กรต่างๆจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของพนักงาน ตลอดจนความเป็นอยู่ของพนักงานเพื่อช่วยให้พนักงานมีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีจะได้ทำงานได้ดีตามไปด้วย โปรแกรมดังกล่าวเช่น
• การอนุญาตให้พนักงานงีบในเวลาทำงานโดยอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมที่นอนให้ด้วย ผลจากการวิจัยบอกว่าการงีบสักเล็กน้อยจะช่วยให้พนักงานทำงานได้ดีขึ้น องค์กรอย่าง Google และ Zappos เลยจัดเตรียมสิ่งที่เรียกว่า “Energy Pods” เพื่อให้พนักงานใช้งีบได้
• การจัดเตรียมโต๊ะปิงปองให้พนักงานเล่น องค์กรอย่าง Dreamsworks หรือ Killerspin พบว่าโปรแกรมนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก การมีโต๊ะปิงปองทำให้พนักงานมีความสุขและมีโอกาสสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานได้มากขึ้นทำให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพดีขึ้น Google ถึงขนาดจัดเตรียมโค้ชมาสอนปิงปองพนักงานเลยคะ
• การสนับสนุนให้มีการออกกำลัง ไม่ว่าจะเตรียม Fitness Center ให้ในองค์กร (เรื่องนี้มีองค์กรในประเทศไทยทำมากพอควรแล้วคะ) หรือสนับสนุนการไปออกกำลังนอกบริษัท เช่นการถีบจักรยานมาทำงานโดยจัดเตรียมห้องอาบน้ำแต่งตัวไว้ให้ หรือการให้คูปองไปเล่นยิมข้างนอกเป็นต้น
• การจัดโปรแกรมสอนเรื่องการดูแลสุขภาพทางอินเตอร์เนท ในองค์กรที่พนักงานต้องมีการเดินทางมากอย่าง Accenture ก็มีโปรแกรมนี้ให้พนักงาน
• การจัดห้องส่วนตัวในการให้นมบุตร ก็เป็นอีกทางที่ช่วยให้พนักงานที่เป็นคุณแม่มีการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
• การจัดให้มีบริการซักรีดเสื้อผ้าบริการให้พนักงาน ก็เป็นโปรแกรมที่บริษัท Next Jumps ที่อเมริกาจัดให้พนักงานเพื่อลดความเครียดในเรื่องส่วนตัวและมีเวลามาโฟกัสในการทำงานให้ดี
นอกจากนี้มีตัวอย่างบริษัทที่ประสพความสำเร็จในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมได้แก่โนเกียที่เมืองจีน(อ้างถึงข้อมูลที่ได้จากเวบไซด์ของโซเด็กซ์โซ่ (th.sodexo.com)) ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างโปรแกรมดูแลสุขภาพองค์รวมและเป็นผลให้ คะแนนความผูกพันของพนักงานโดยรวมเพิ่มจาก 84% เป็น 98% ! โดยสรุปโปรแกรมประกอบด้วย
• ศูนย์สุขภาพ ให้บริการนวด การรักษาแบบองค์รวมแผนจีน การดูแลความงามและเส้นผม และห้องทำสมาธิ/อาการเมาเวลาเมื่อเดินทาง เพื่อพักผ่อนสั้นๆ ช่วงเบรค
• โรงยิม ให้บริการตรวจสอบสุขภาพและโปรแกรมฟิตเนสพื้นฐานแบบไม่มีค่าใช้จ่าย โดยโรงยิมมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ครบครันทันสมัย
• การสร้างสรรค์กิจกรรมสันทนาการประจำแต่ละฟลอร์ทำงาน
• การสร้างสรรค์โปรแกรมกิจกรรม Wellness โปรแกรมนี้คือส่วนผสมที่หลากหลายของเวิร์กช้อป สัมมนา และกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนานซึ่งให้ความรู้ ความตื่นเต้น และส่งเสริมให้พนักงานโนเกียปฏิบัติตามแนวทางการทำงานและไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ
• การฝึกสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต โปรแกรมฝึกอบรมนี้มุ่งเน้นด้านการส่งเสริมให้พนักงานโนเกียเปลี่ยนมายึดถือแนวทางปฏิบัติในการทำงานและดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ
สำหรับเมืองไทยนั้นจากสถิติพบว่าการดำรงชีวิตของคนไทย(หรือพนักงานชาวไทย) มีปัจจัยความเสี่ยงสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในเอเซียแปซิฟิค ซึ่งโดยสรุปคนไทยมีความเสี่ยงของสุขภาพในเรื่องของ การดื่ม การสูบบุหรี่และความอ้วน ดังนั้นองค์การในเมืองไทยจึงเริ่มมีโปรแกรมในการดูแลสุขภาพกายและจิตที่น่าสนใจ(ไม่แพ้ฝรั่ง) ออกมาบ้างแล้ว เท่าที่ดิฉันพบจะมีตั้งแต่ให้พนักงานลาหยุดไปวิปัสสนา นั่งสมาธิโดยไม่นับเป็นวันลา เนื่องจากผู้บริหารเชื่อว่าการไปนั่งสมาธิกำหนดจิตจะทำให้พนักงานทำงานได้ดีขึ้น บางองค์กรจัดให้มีการสอนโยคะในที่ทำงาน หรือมีหมอนวดมานวดให้ที่ทำงาน หรือบางองค์กรมีห้องนวดพร้อมเก้าอี้นวดให้ไปนวดพักผ่อนได้ในเวลางาน เป็นต้น
สุดท้ายขอฝากเคล็ดลับที่จะทำให้โปรแกรมเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้โดย 1) องค์กรต้องเข้าใจความต้องการของพนักงานของตัวเองอย่างชัดเจน โดยการวิเคราะห์ข้อมูล สอบถามหรือสำรวจความต้องการของพนักงาน (ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอาจไม่หมาะกับบางองค์กรก็ได้) 2) เมื่อเข้าใจแล้วต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร และท่านต้องเป็น Role Model ในเรื่องนี้ด้วย (เช่น ถ้าองค์กรสนับสนุนให้พนักงานงีบแต่พอพนักงานจะงีบจริง ผู้บริหารมองหน้าแปลกๆ ใครจะกล้างีบ จริงมั้ยคะ) และ 3) ต้องมีการประเมินผลด้วยว่าโปรแกรมที่เรามี มันได้ผลจริงหรือไม่ ระหว่างก่อนกับหลังมีโปรแกรม พนักงานมีสุขภาพดีขึ้นไหม พนักงานมีความผูกพันมากขึ้นมั้ย ผลผลิตในการทำงานเป็นอย่างไร คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่เป็นต้น