การให้วันลาแบบ Unlimited
April 26, 2019ก่อนอื่นต้องให้คำจำกัดความของธุรกิจครอบครัวซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงธุรกิจที่หุ้นของกิจการ มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นเจ้าของโดยสมาชิกของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง หรือธุรกิจที่มีการสืบทอดมาสู่ลูกหลานอีกรุ่นหนึ่ง โดยประเด็นเรื่องธุรกิจครอบครัวนี้ไม่ใช่มีมากเฉพาะเมืองไทย ยกตัวอย่างบริษัทใหญ่ๆในอเมริกาอย่างเช่น บริษัท ผลิตช็อคโกแลต Mars บริษัท Cargill (บริษัทในกลุ่มเกษตรอุตสาหกรรมระดับโลก) บริษัทผลิตรถยนต์ Ford ซึงปัจจุบันหุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นของตระกูล Ford หรืออย่างบริษัทที่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังของอเมริกาอย่าง Walmart ซึ่งถือเป็น ธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในอเมริกา ตามสถิติบอกไว้ว่า ประมาณ1ใน3 ของบริษัทใน S&P 500 มีครอบครัว หรือกลุ่มครอบครัวเป็นเจ้าของหุ้นหรือบริหารงานอยู่ สำหรับในเมืองไทยก็ไม่ต่างจากอเมริกานะคะ จากข้อมูลทางเวบไซด์ของมูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา พบประเด็นที่เกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวที่น่าสนใจดังนี้
- ธุรกิจในประเทศไทยกว่า 80% เป็นธุรกิจครอบครัวและปัญหาใหญ่ที่ธุรกิจเหล่านี้กำลังเผชิญก็คือ การส่งผ่านธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นให้ประสบผลสำเร็จ จากผลการสำรวจธุรกิจครอบครัวของ PwC ในปี 2012 ระบุว่าธุรกิจในภูมิภาคเอเชียกว่าร้อยละ 70-80 ล้วนเป็นธุรกิจที่เติบโตมาจากธุรกิจครอบครัว และอัตราการอยู่รอด (Survival rate) ของธุรกิจครอบครัวรุ่นที่ 1 อยู่ที่ 100% รุ่นที่ 2 อยู่ที่ 30% และรุ่นที่ 3 อยู่ที่ 12% และรุ่นที่ 4 จะเหลือเพียง 3% สอดคล้องกับความเชื่อที่กล่าวกันว่าธุรกิจครอบครัวมักจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 รุ่น
- บริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET 50 ก็ยังเป็นธุรกิจครอบครัวมากเกือบจะครึ่งหนึ่งของบริษัททั้งหมด หากวิเคราะห์เฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม SET50 จำนวน 50 บริษัท จะพบกว่ามีบริษัทมากถึง 21 แห่งที่เป็นธุรกิจครอบครัว คิดรวมเป็นมูลค่าตลาด (Market capitalization) กว่า 33% หรือประมาณ 1/3 ของมูลค่าตลาดรวมของ SET50 โดยกว่าครึ่งของบริษัทเหล่านี้จะอยู่ใน 3 ธุรกิจใหญ่คือ ธนาคารพาณิชย์ พาณิชย์ & การค้า และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
- จากธุรกิจครอบครัวรวม 21 แห่ง มีบริษัทถึง 10 แห่งที่บริหารงานโดยรุ่นที่ 2 (Gen 2) ทั้งนี้ ธุรกิจครอบครัวในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ส่งผ่านธุรกิจไปจนถึงรุ่นที่ 3 (Gen 3) แล้ว ขณะที่ธุรกิจครอบครัวในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนมากจะยังคงบริหารงานโดยรุ่นที่ 1 (Gen 1) เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่มีประวัติการจัดตั้งไม่ยาวนานนัก
ตารางด้านล่างสรุปจุดแข็งกับจุดอ่อนของธุรกิจครอบครัวไว้ดังนี้
จุดแข็ง | จุดอ่อน |
การตัดสินใจรวดเร็ว คือไม่ต้องผ่านกรรมการ ไม่ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการสามารถตัดสินใจและเซ็นเอกสารนั้นๆได้ทันที ทำให้ไม่สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไป | โครงสร้างการบริหารจะสับสน เนื่องจากทุกคนเป็นญาติกันหมด และแต่ละคนก็มีความสามารถไม่เท่ากัน (แต่ได้เข้ามาทำงานเพราะเป็นญาติ) หรืออีกกรณีคือการสั่งงานสับสนจนลูกจ้างงุนงง อีกมุมมองหนึ่งของจุดแข็งในเรื่องการตัดสินใจรวดเร็วก็คือจุดอ่อนที่ว่าธุรกิจครอบครัวบางครั้งก็ทำกันในกลุ่มคนไม่กี่คน ทำให้ขาดความรอบคอบหรือข้อมูลรอบด้าน หรือบางครั้งก็มีความเกรงใจในอาวุโสจนทำให้ไม่กล้าเห็นต่าง ซึ่งอาจเป็นผลเสียกับธุรกิจได้ |
ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า และทำให้การทำธุรกิจดำเนินไปได้คล่องตัวกว่า ในกรณีทำการค้ากับคู่ค้าถ้าเจ้าของหรือลูกเจ้าของมาเองก็ได้ใจคู่ค้าไปแล้ว | ปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ช้า เนื่องจากบางครั้งจะยึดติดกับวิธีการเดิมๆ (ที่ทำมาจนกิจการใหญ่โต) ทำให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ช้า |
เจ้าของหรือครอบครัวจะมีความเสียสละและทุ่มเทมากกว่าลูกจ้างเพราะถือว่าทุกอย่างเป็นของเราเอง | การเปลี่ยนแปลงในองค์กรทำได้ไม่มาก เพราะมีปัญหากระทบคนในครอบครัวก็ไม่อยากทำ ไม่อยากทะเลาะกัน เป็นต้น |
เลือดข้นกว่าน้ำ หมายถึงการใช้คนในครอบครัวทำงานในเรื่องสำคัญๆของบริษัท เนื่องจากมีความไว้วางใจมากกว่า ยังไงคนในครอบครัวกันเองก็ไม่โกงกัน เป็นต้น | ความยุติธรรมในการทำงาน ในหลายครั้งพนักงานในธุรกิจครอบครัวจะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมในการทำงาน ทำไมอะไรๆก็ญาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุให้พนักงานหมดกำลังใจในการทำงาน (ทำดีเท่าไรญาติก็ได้รับการพิจารณาก่อน) |
จากจุดอ่อนข้างต้นจะเห็นว่าการที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวดำเนินไปได้ด้วยดีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การกำหนด Governance หรือ บทบาทการกำกับดูแลที่ชัดเจน 1) กับครอบครัวทุกฝ่าย (เพื่อลดความขัดแย้งในครอบครัว) 2) กับผู้บริหารที่ไม่ใช่ครอบครัว (เพื่อไม่ให้ผู้บริหารท้อถอย ทำไปเท่าไรๆ ก็ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต เพราะมีเครือญาติจ่อรออยู่ แล้วจะทำไปทำไม)) และสุดท้าย 3) กับพนักงาน (เพื่อลดความสับสนในการทำงาน เดี๋ยวอากงสั่งอย่างหนึ่ง อาม่าสั่งอีกอย่างหนึ่งทำไม่ถูก) ยกตัวอย่างการกำหนดบทบาทการกำกับดูแลในเรื่องการจ้างพนักงาน ในกรณีที่เป็นญาติอยากมาทำงานในตำแหน่งใดในบริษัทก็ควรมีคุณสมบัติเหมาะสมเหมือนกับที่เราจะจ้างคนนอก ไม่ใช่เป็นญาติอยากทำงานตรงไหนก็ได้ รวมถึงเงินเดือนด้วยนะคะที่ต้องให้ตามงานที่ทำ ไม่ใช่ตามใจคนตั้ง เป็นต้น นอกจากนี้หลังจากที่มีระบบการกำกับดูแลที่เหมาะสมแล้ว สิ่งที่ธุรกิจครอบครัวควรคำนึงต่อมาคือการวางแผนสืบทอดกิจการ ( Succession Planning) ซึ่งมีธุรกิจครอบครัวหลายๆแห่งที่ขาดความพร้อมในเรื่องนี้ เนื่องด้วยหลายๆสาเหตุ เช่น ไม่คิดว่าจำเป็น เรายังไม่แก่ทำไปได้เรื่อยๆ บริษัทเราเองไม่ต้องมีเกษียณ หรือ ไม่อยากวางแผนเพราะเดี๋ยวพี่น้องทะเลาะกัน คนที่ไม่ได้เป็นจะเสียใจ เลยรอๆไปก่อน หรือไม่มีคนในครอบครัวเก่งพอเลย คนนอกก็ไม่ไว้ใจ เลยรอๆๆไปก่อนดีกว่า เป็นต้น ไม่ได้นะคะ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่างไรก็ต้องมีคนมาทำแทน เราคงทำเองไปไม่ได้ตลอดหรอกค่ะ ถ้าเราวางแผนเนิ่นๆเราจะได้สอนเขาทัน ฝึกเขาทัน แต่ถ้าไม่วางแผนไว้ถึงเวลาหาใครทำไม่ได้ กลายเป็นความเสี่ยงของธุรกิจไปอีกค่ะ ถ้าทำสองเรื่องสำคัญนี้ได้ก่อน (ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่นการนำระบบการบริหารจัดการใหม่ๆ เทคโนฯใหม่ๆมาใช้ การหาผู้บริหารมืออาชีพมาเสริมครอบครัว ก็ต้องตามมานะคะ) ดิฉันเชื่อว่าธุรกิจครอบครัวของเราจะสามารถดำเนินไปได้ด้วยดีและไม่หยุดอยู่ที่รุ่นเรา (ตามสถิติข้างต้น) ขอให้โชคดีนะคะ