สร้างผู้นำยุคดิจิทอล
April 26, 2019วันนี้ได้มีโอกาสดูบทสัมภาษณ์ (จากยูทูป) ที่คุณ บุญคลี ปลั่งศิริไปพูด ในหัวข้อ “นักบริหารกับเจ้าของสองประสานเพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน” มีเรื่องน่าสนใจที่อยากนำมาเล่าต่อค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกข้อมูลสำคัญก่อนว่าทำไมเรื่องธุรกิจครอบครัวถึงเป็นเรื่องที่ HOT ตลอดกาลในประเทศไทย เนื่องจากธุรกิจครอบครัวในประเทศไทยมีมูลค่าธุรกิจรวมประมาณ 28 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจากธนาคารกสิกรไทย ณ ปี 2556) จากมูลค่าธุรกิจรวมของประเทศทั้งหมด 39 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 72% ของระบบเศรษฐกิจ หากนับเฉพาะจำนวนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นธุรกิจครอบครัว หรือควบคุมกิจการโดยบุคคลในครอบครัว มีมากถึง 50.4% ธุรกิจครอบครัวในประเทศไทย ติดอันดับ 8 ของโลกและอันดับ 7 ของเอเชียแปซิฟิค
เอาล่ะคะมาเข้าเรื่องกันต่อ จากที่คุณบุญคลีพูดให้ความเห็นไว้มีประเด็นที่น่าสนใจคือ
“องค์กรที่มีเจ้าของอย่างเดียวเติบโตไปได้เพียงจุดหนึ่งเท่านั้น ขณะที่องค์กรที่มีแต่มืออาชีพอย่างเดียวไม่มีเจ้าของก็เติบโตได้ช้า แต่คน 2 พันธุ์นี้ต้องอยู่ด้วยกัน” คุณบุญคลี เล่าถึงคนต่างกันสองพันธุ์นี้ว่าเป็นสองสายพันธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณบุญคลีบอกว่าคนแบบเจ้าของก็คิดหรือกลายเป็นมืออาชีพได้ยาก ส่วนมืออาชีพก็จะกลายเป็นเจ้าของได้ยาก แต่องค์กรที่จะเติบโตต้องการคนสองแบบนี้ทำงานร่วมกัน ถ้ามีแต่เจ้าของ บริษัทก็จะขยายได้ยาก แต่ถ้ามีแต่มืออาชีพ กิจการก็จะโตช้า ดิฉันเห็นด้วยในส่วนนี้ว่า ในองค์กรต้องการคนสองสายพันธ์นี้เพราะ คนที่เป็นเจ้าของมีจุดเด่นคือ การตัดสินใจรวดเร็ว (มืออาชีพไม่กล้าตัดสินใจเร็วอย่างนี้เพราะไม่ใช่เงินตัวเอง ตัดสินใจไปกลัวผิด โดนไล่ออก) เจ้าของจะมองและหวังประโยชน์องค์กรในระยะยาวจริงๆ (ตรงนี้ต่างจากมืออาชีพบางคนที่ทำเพื่อผลสำเร็จระยะสั้นเพราะมี KPIs ประจำปีค้ำคออยู่) แต่ข้อจำกัดของเจ้าของคือ การตัดสินใจเร็วนั้นมักใช้ gut feeling มากกว่าข้อมูล ตรงนี้ถ้าได้มืออาชีพมาช่วยในการหาและวิเคราะห์ข้อมูลก็จะเป็นประโยชน์ และคำว่า ทำงาน แบบเถ้าแก่ก็เกิดตรงนี้เองค่ะ คือ บางทีหาและวิเคราะห์ข้อมูลมาให้แล้วยังไม่เชื่อ ยังตัดสินใจโดย gut feeling ต่อไปเพราะเชื่อมั่นในประสบการณ์ตนเอง ตรงนี้ดิฉันมีข้อแนะนำสำหรับมืออาชีพว่า อย่าเพิ่งถอดใจในครั้งแรก บางครั้ง gut feeling ก็ใช้ได้ดีกว่าข้อมูล ไม่งั้นท่านเถ้าแก่ทั้งหลายคงไม่เติบโตมาเป็นร้อยล้าน พันล้าน เพียงแต่ทุกครั้งที่เจ้าของตัดสินใจโดยไม่เชื่อข้อมูลแล้วผิด เราควรนำกลับมาอธิบายท่านเพื่อให้เป็น lesson learnt ค่ะ ถ้าท่านเป็นคน open และฟัง ครั้งต่อไปก็จะทำงานร่วมกันง่ายขึ้น แต่ถ้าท่านไม่ฟังอีก ก็คงต้องพิจารณาว่าเราจะ (ทน)อยู่ต่อไปได้มั้ย?
ถัดมาอีกเรื่องที่ว่า เจ้าของจะกลายเป็นมืออาชีพได้ยาก และมืออาชีพก็กลายเป็นเจ้าของได้ยาก เพราะเป็นมนุษย์ต่างพันธ์กันโดยสิ้นเชิง ตรงนี้ดิฉันอยากเสริมว่าผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ (โดยเฉพาะเจ้าของใน Gen2 หรือ 3 ที่มีการศึกษาทันสมัย) หรือมืออาชีพสามารถเป็น Professional Owner ได้ หมายถึง สามารถเป็นผู้บริหารที่คิดอย่างเจ้าของแต่ทำอย่างมืออาชีพได้ (Think as owner, act as professional !) คือการที่ผู้บริหาร 1) ต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็ว (อย่างเจ้าของ) 2) ภายใต้การใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่เหมาะสม (อย่างมืออาชีพ) 3) โดยคิดถึงผลประโยชน์และความเสี่ยงต่อองค์กรในระยะยาว (อย่างเจ้าของ เพราะเจ้าของลาออกไม่ได้ต้องอยู่กับผลระยะยาว) ไม่ใช่เฉพาะ KPIs ประจำปี (หลายๆๆครั้งพบว่า พวกมืออาชีพพยายามทำงานให้ได้ KPIs แต่ละปีโดยไม่ได้นึกถึงผลกระทบหรือความเสี่ยงในระยะยาว แล้วพวกเขาก็ลาออกไป ทิ้งให้เจ้าของต้องมานั่งปวดหัวกับสิ่งที่พวกเขาทำไว้ ยกตัวอย่างง่ายๆ การขายให้ได้เป้าตาม KPIs แต่ละปี โดยไม่ได้ดูความเสี่ยงของลูกหนี้ในการเก็บหนี้ พอสิ้นปียอดขายถึงได้โบนัสกันสบายใจ อีก 1 ปี 2 ปี 3 ปีเก็บเงินไม่ได้ มืออาชีพออกไปแล้ว เจ้าของต้องมานั่งเคลียร์ปัญหาเอง เพราะออกไปไหนไม่ได้)
ดังนั้นถ้าเรามีเจ้าของที่ Think as owner, act as professional ได้ก็จะสมบูรณ์แบบเลย และในทางกลับกันแนวคิดนี้ก็ใช้ได้กับมืออาชีพนะค่ะ กล่าวคือ ถ้าเป็นมืออาชีพก็ต้องคิดอย่างเจ้าของ หมายถึงคิดว่าถ้าเป็นเงินของเขาเองจริงๆเขาจะตัดสินใจแบบเดียวกัน (ภายใต้เงื่อนไขว่าเจ้าของต้องให้อำนาจในการตัดสินใจแก่มืออาชีพด้วย เพราะถ้าเจ้าของไม่ให้อำนาจ มืออาชีพก็ไม่กล้าตัดสินใจอยู่ดี กลัวผิด แล้วโดนไล่ออก) โดยมองถึงผลในระยะยาวเพราะว่าลาออกทิ้งไปไม่ได้ เพราะเป็นเงินของตัวเองก็ต้องอยู่กับมันไป ถ้าคิดได้อย่างนี้มืออาชีพก็สามารถเป็น Professional Owner ได้เหมือนกันค่ะ
ประเด็นที่น่าสนใจของคุณบุญคลีอีกประเด็นหนึ่งคือ การทำงานกับเถ้าแก่หรือเจ้าของต้องเริ่มจากสร้างความไว้วางใจหรือ Trust ก่อนคุณบุญคลีบอกว่า มืออาชีพที่เริ่มทำงานกับเถ้าแก่หรือเจ้าของ งานอย่างแรกคือการสร้างความไว้วางใจก่อน เพราะถ้าเริ่มทำงานแล้วเถ้าแก่ไม่ ไว้วางใจก็จบไม่ต้องไปต่อแล้ว ดิฉันเห็นด้วยในประเด็นนี้ โดยอิงจากประสบการณ์ตัวเองที่ทำงานกับผู้บริหารที่เป็นเจ้าของด้วยมามากมาย เจ้าของทุกท่านที่ทำงานกันมายาวๆเกิดจากการมี Trust หรือความไว้วางใจก่อนทั้งสิ้น เราต้องสร้าง Trust ก่อนโดยเริ่มจากคิดว่าถ้าบริษัทนี้เป็นของเราเองเราจะทำอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร สำคัญที่สุดถ้ามีปัญหาก็ต้องบอกปัญหากันตรงๆ ซึ่งโดยมากปัญหามักไม่มีใครกล้าพูด เพราะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของอยากฟังและส่วนมากปัญหามักเกิดจากเจ้าของด้วย 😊 ถ้าเจ้าของรับฟังขั้นตอนต่อไปก็ง่ายแล้วค่ะคือการให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ (เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ) ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จะเกิด Trust ด้วยกันทั้งสองฝ่ายและทำงานกันต่อไปได้ยาวๆค่ะ (แต่ก็มีนะคะที่ต้องเลิกทำกันไป เพราะไม่เข้าใจกัน แต่ส่วนน้อยค่ะเพราะเจ้าของส่วนมากจะ Open และอยากฟังความจริงเพื่อปรับปรุงบริษัทตัวเอง ไม่งั้นคงไม่เรียกหาที่ปรึกษาตั้งแต่แรก)
สุดท้ายสำหรับท่านผู้อ่านที่ทำงานกับเจ้าของบริษัท ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ อย่าลืมว่าต้องเริ่มจากการสร้าง Trust ก่อนนะคะ โชคดีค่ะ!